หายไปนานเลย ส่วนตัวผมเองก็ไม่ได้ไปเที่ยวเล่นที่ไหนมากนักเนื่องด้วยการงานที่ค่อนข้างรัดตัว บวกกับข้อจำกัดหลายๆอย่าง (โดยเฉพาะการเงิน) =w=
จริงๆเมื่อเดือนที่แล้วผมได้มีโอกาศออกทริปมอเตอร์ไซค์เล็กๆของตัวเอง
พี่ที่ออฟฟิซผมวางแผนว่าจะไปงานวันเกิดเจ้าอาวาศที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งมันตรงกับว่าอาทิตย์พอดี ผมจึงชวนแฟนออกไปขี่มอไซค์กัน
ทริปนี้เป็นทริปสั้นๆ ไปเช้า เย๊นกลับ เราออกเดินทางกันตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าด้วยความคิดที่ว่าจะไปถึงที่หมายก่อนสิบโมง
ซึ่งก็เป็นไปตามความคาดหมาย เราถึงเขตปากช่องตอนเก้าโมงกว่าๆ ไม่รู้ว่าเป็นธรรมเนียมหรืออะไร หลายๆคนที่ผมรู้จักเมื่อมาถึงปากช่องแล้วก็มักจะไม่พลาดที่จะสร้างแลนด์มาร์คไว้ที่นี่ ตัวผมเองก็ไม่พลาดเช่นกัน
ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่น เราถึงทางเข้าวัดราวๆเก้าโมงสี่สิบห้า ทางเข้าวัดนี้ยังคงให้กลิ่นอายของความเป็นต่างจัดหวัด สองข้างทางเป็นทุ่งนา ชาวบ้านที่นี่ปลูกข้าวโพดเป็นหลัก แต่ก็ยังมีวัวเลี้ยงไว้ให้เห็นประปรายบ้าง เป็นวิวที่ค่อนข้างแปลกตาเลยทีเดียว
ขาเข้าไม่มีอะไรมากนัก ถึงทางทั้งหมดจะเป็นดินแดงแต่ด้วยความแห้งจึงทำให้การเดินทางไม่ลำบากนัก
เมื่อถึงวัดแล้วเราก็ไปเจอกับเพื่อนร่วมขบวนการที่ศาลาของวัด ซึ่งผมค่อนข้างแปลกใจว่าทำไมวัดป่าแบบนี้ถึงมีศาลาที่ยิ่งใหญ่อลังการแบบนี้ ทราบมาว่ามูลค่าของศาลานี้นั้นมากกว่า 20 ล้านบาทเลยทีเดียว ขนาดของศาลานั้นผมคาดไว้ว่าขนาด กว้าง*ยาว น่าจะประมาณ 15*30 เมตร ซึ่งมันก็ใหญ่เกินไปสำหรับวัดป่าจริงๆนั่นล่ะ
หลังจากที่เจ้าอาวาสสวดเสร็จแล้ว ต่อมาก็จะเป็นพิธีรดน้ำเจ้าอาวาส ซึ่งเจ้าอาวาสจะนั่งบนอาสนะแล้วญาติโยมทั้งหลายก็จะรดน้ำผ่านท่อไม้ไผ่ยาวๆส่งไปยังมือของเจ้าอาวาส
หลังจากเสร็จพิธี สมาชิกก็ไม่พลาดที่จะชักภาพหมู่ร่วมกัน
หลังจากเสร็จพิธีก็เป็นเวลาอาหารหลางวัน ซึ่งอาหารทั้งหมดเป็นของที่ญาติโยมทั้งหลายนำมาจัดโรงทานขึ้น อาหารนั้นค่อนข้างมีหลากหลายเลยทีเดียว แถมอร่อยอีกตะหาก =w=
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้รายรื่นอย่างที่เราคิดกันไว้ ระหว่างที่เรากำลังกินอาหารกลางวันจู่ๆฝนก็ตกลงมาอย่างหนัก ดีที่เราเก็บรองเท้ากันทัน ไม่งั้นคงต้องใส่รองเท้าเปียกๆกลับบ้านแน่ๆ
สิ่งที่แย่กว่ารองการใส่รองเท้าเปียกกลับบ้านก็คือถนนเปียก ทางที่เราเข้าวัดมานั้นเป็นดินแดง ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจเลยถ้ามันจะกลายเป็นโคลนลื่นๆเพราะฝนที่ตกลงมาอย่างหนักนี้
ขาออกจากวัดผมก็ขี่รถมาด้วยความระวังและความเร็วที่น้อยมากๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะถนนที่มันกลายเป็นดินหนังหมูหรือข้อมือของผมที่ไม่แข็งพอ มอไซค์ของผมก็สไลด์และล้มลง
ทั้งผมและแฟนไม่มีใครบาดเจ็บ มีแต่รถที่เลอะไปข้างนึง ตอนนี้ขี่มอไซค์ไม่ได้แล้วแน่ๆ เพราะถ้ายังฝืนขี่อยู่ก็คงจบลงที่การล้มเหมือนเดิม เพราะงั้นเราจึงต้องเดินทางออกกันแบบนี้
พอผ่านทางดินหนังหมูมาได้ก็จะเป็นทางคอนกรีตปกติ แต่แทนที่ผมจะขี่ทำเวลา ผมกลับขี่ได้ช้าลงกว่าขามา ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะความระวังที่มากขึ้นหรือความระทึกที่ยังคงอยู่กันแน่
ระหว่างทางกลับเราแวะล้างเท้ากันที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งและเพื่อตรวจตรวจสภาพรถไปในตัว สภาพก็ออกมาอย่างที่เห็น
หลังจากออกจากปั้มน้ำมันมา เราก็ยิงยาวตรงมากรุงเทพฯด้วยเส้นทางเดิมที่เรามา แต่การเดินทางกลับนั้นไม่ได้ง่ายเหมือนการมา เราพักกันนานขึ้นและบ่อยขึ้น อาจจะเป็นเพราะความล้าจากการขี่มอไซค์และความเจ็บที่เข้ามาเล่นงานก้นของเรา =w=
หกโมงกว่าๆเราก็เดินทางถึงจุดหมาย การเดินทางครั้งนี้ค่อนข้างสาหัสเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะฝน ไม่ใช่เพราะล้ม แต่เป็นเพราะเรายังไม่พร้อม ไม่พร้อมแม้กระทั่งก่อนออกเดินทาง แต่สุดท้าย ทริปครั้งแรกของผมกับแฟนก็สิ้นสุดลง
มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขมากๆอีกช่วงหนึ่งในชีวิตผม ทั้งการขี่มอไซค์ การที่ได้ใช้เวลากับคนข้างๆ
มันเป็นความประทับใจแบบแปลกๆที่ไม่ว่าเราจะเจออะไรมา มันก็ทำให้เรายิ้มได้ในตอบจบ
หลายคนถามผมว่าทำไมไม่ขับรถไป จะขี่มอไซค์ให้ลำบากทำไม คำถามนี้ทำให้ผมคิดถึงประโยคหนึ่งที่ผมก็ไม่แน่ใจว่าได้ยินหรืออ่านมาจากที่ไหน
"การขับรถก็เหมือนกับการที่เราได้ชมภาพภาพหนึ่ง
แต่การขี่มอไซค์จะทำให้เราเข้าไปอยู่ในภาพ"
เหนื่อย คือความรู้สึก ณ ตอนนั้น ผมอยากที่จะล้มตัวลงนอนบนเตียงนุ่มๆในห้องแอร์เย็นๆ ซึ่งผมก็ทำอย่างนั้นจริงๆหลังอาบน้ำ
ผมใช้เวลาไม่นานนักก่อนจะหลับไป